ชื่อโครงการ
โครงการวิจัยปฏิบัติการเพื่อพัฒนาต้นแบบพื้นที่นวัตกรรมการจัดการศึกษาระดับจังหวัด ด้วยกระบวนการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนทั้งระบบ: กรณีศึกษาจังหวัดระยอง ระยะที่ 2
คำสำคัญ
พื้นที่นวัตกรรมการจัดการศึกษา,กระบวนการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนทั้งระบบ,ระดับจังหวัด
บทคัดย่อ
โครงการวิจัยปฏิบัติการเพื่อพัฒนาต้นแบบพื้นที่นวัตกรรมการจัดการศึกษาระดับจังหวัดด้วยกระบวนการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนทั้งระบบ : กรณีศึกษาจังหวัดระยอง ระยะที่ 2 เป็นโครงการวิจัยต่อเนื่องที่มีขึ้น ให้เป็นต้นแบบของการปฏิรูปการศึกษาอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมในระดับจังหวัด สามารถนำไปขยายผลในระดับประเทศได้ สถาบันอาศรมศิลป์ ได้ดำเนินงานในปีที่ 2 ระหว่าง พฤษภาคม 2563-สิงหาคม 2564 โดยต่อยอดจากทุนเดิมที่ได้สร้างไว้ในปีที่แล้ว ได้แก่ วางแนวความคิดเรื่องกระบวนการเปลี่ยนโรงเรียนทั้งระบบ (Whole School Transforming) ให้สถานศึกษานำร่องรุ่นที่ 1 จำนวน 25 แห่ง ได้เห็นทิศทางและมีเป้าหมายมีแกนเกาะในการเริ่มพัฒนาสถานศึกษาของตนตาม 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) เป้าหมายเดียวกัน เป็นแนวคิดหลักของโรงเรียน ที่เน้นการพัฒนาบนฐานทุนของโรงเรียนเพื่อบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน 2)ผู้อำนวยการโรงเรียน ที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และนำการบริหารวิชาการ 3)ครูที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการจัดกระบวนการเรียนรู้ 4)พื้นที่การเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ 5)การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ 6)หลักสูตรสถานศึกษาที่จัดระบบการเรียนให้ตอบโจทย์/สอดคล้องกับแนวคิดหลักของโรงเรียน และ 7)ระบบการวัดและประเมินผล กระบวนสร้างการเปลี่ยนแปลง เริ่มจากการปรับ mindset ของผู้บริหารและทีมครู ให้ชุดความรู้ทักษะ และสร้างประสบการณ์การเรียนรู้และการทำงานเป็นทีม มีระบบโค้ชพี่เลี้ยงในพื้นที่คอยให้การช่วยเหลือตามบริบทความพร้อมของแต่ละโรงเรียนภายในกรอบการออกแบบการทบทวนเติมเต็มที่ได้มาจากการอบรมปฏิบัติการ ผลของงานวิจัยทำให้สามารถประเมินระดับความสามารถและจัดกลุ่มผู้อำนวยการและครูที่มีศักยภาพให้เป็นโค้ชแกนนำในพื้นที่ ซึ่งทีมวิจัยมองเป้าหมายการสร้างโค้ชแกนนำในพื้นที่ในระยะนี้ จากนั้นดำเนินเปิดรับสมัครโรงเรียนนำร่องรุ่นที่ 2 จำนวน 26 แห่ง เข้าสู่กระบวนการปฏิบัติการวิจัย ภายใต้หลักการของการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนทั้งระบบ (Whole School Transforming) ตามทฤษฎีของ การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) และการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม (Holistic Learning) ซึ่งมีจุดเน้นที่ การบรรลุผลการเรียนของผู้เรียนครบทั้ง 3 ด้าน คือ ทัศนคติเชิงคุณค่า ทักษะการเรียนรู้ และความรู้ เพื่อนำไปสู่สมรรถนะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 คณะผู้วิจัยได้ออกแบบชุดเครื่องมือ/กระบวนการวิจัย เพื่อสร้างผู้บริหารการศึกษา ครู และศึกษานิเทศยุคใหม่ ที่มีวิสัยทัศน์ในการมองกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่กว้างขวาง ในความหมายใหม่ที่การเรียนรู้ไม่ได้อยู่เพียงแค่ในห้องเรียน เพื่อเข้าถึงการเรียนรู้และเห็นคุณค่าในการ “เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศการศึกษา” สู่การพัฒนาการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 และเปลี่ยนหลักสูตรสถานศึกษาสู่หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โดยชุดเครื่องมือสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศการศึกษา ในการวิจัยครั้งนี้มีทั้งหมด 7 ชุดการเรียนรู้ ได้ใช้ชุดเครื่องมือที่ 1 ถึงชุดเครื่องมือที่ 3 เพื่อสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ เพื่อให้โรงเรียนสามารถนำไปจัดการเรียนรู้เพื่อสร้างสมรรถนะการเรียนรู้ให้ผู้เรียน ผลจากปฏิบัติการวิจัยพบว่า 22 โรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษารุ่นที่ 2 (เดิมรุ่นแรกเสนอแล้ว 19 โรงเรียน) สามารถนำเสนอหลักสูตรสถานศึกษาต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาได้รับความเห็นชอบและให้นำไปใช้ ผลจากการประเมินยังพบว่าผู้อำนวยการโรงเรียนยังคงเป็นกุญแจสำคัญเป็นผู้นำและผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง มีนวัตกรรมการอบรมแบบจัดเป็นฐานเพื่อกระจายและกำหนดโค้ชแกนนำประจำกลุ่ม ดำเนินการแบบผสมผสานทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อให้เข้าถึงและเกิดการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด การวิจัยดำเนินการภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตั้งแต่ระลอกที่ 1 จนถึงระลอกที่ 4 เป็นการระบาดที่รุนแรง จึงขาดความต่อเนื่องในการทำกิจกรรมที่ได้วางแผนไว้ จนกระทั่งช่วงท้ายโครงการได้ปรับการทำงานเป็นการติดตั้งกลไกระบบโค้ชในพื้นที่ (Node & Network) สร้างเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้บนฐานเครือข่ายโดยมีทีมพี่เลี้ยงทางวิชาการคอยสนับสนุนให้คำแนะนำในทุกอาทิตย์ ผ่านกิจกรรม PLC Cluster Coaching Online ซึ่งนับว่าเป็นการขับเคลื่อนที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย ผลจากการวิจัยครั้งนี้ได้สะท้อนถึงบทเรียนที่สำคัญ ต่อกระบวนการปฏิรูปการศึกษา กล่าวคือ ประการที่ 1 การปฏิรูปผ่านระบบโรงเรียน มีความเป็นไปได้สูง ผู้บริหารโรงเรียนมีอิทธิพลสูงต่อการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ ประการที่ 2 สถานศึกษานำร่องเป็นพื้นที่ทดลองการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ มีหลักฐานร่องรอยการทำงานที่เป็นประโยชน์สามารถสะท้อนผลสู่ระดับนโยบายได้ ประการที่ 3 กลไกระบบโค้ชในพื้นที่และพี่เลี้ยงทางวิชาการจากโรงเรียนรุ่งอรุณ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนโรงเรียนในเครือข่ายมีความสำคัญจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปรากฏเป็นแบบแผนใหม่ของระบบการติดตามช่วยเหลือ เป็นระบบที่ยั่งยืน ที่จะช่วยสะท้อนการเปลี่ยนแปลง กระบวนการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ตั้งแต่ระดับโรงเรียนขึ้นมาจนถึงระดับจังหวัดและระดับนโยบายการจัดการศึกษาของประเทศได้ต่อไป