ในปี พ.ศ. 2516 หลังจากมรการก่อสร้างชพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีราถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ก็ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์เป็นประจำทุกปี (เว้นปี พ.ศ. 2525 และ พ.ศ. 2534) ในการเสด็จพระราชดำเนินในแต่ละครั้งจะทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดใกล้เคียงทุกหมู่เหล่า
ในปี พ.ศ. 2518 ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชน ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจัดให้มีการแข่งขันเรือกอและ อันเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวจังหวัดนราธิวาส ถวายทอดพระเนตรเพื่อเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น และเป็นการฟื้นฟูประเพณีการแข่งขันเรือกอและด้วยฝีพายที่ว่างเว้นมานานปี ต่อมาได้มีพระบรมราชานุญาตให้จัดการแข่งขันเรือกอและด้วยฝีพายหน้าพระที่นั่ง เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2519 อีกทั้งได้พระราชทานถ้วยรางวัลแก่ทีมเรือที่ชนะการแข่งขันด้วย นับแต่นั้นมาจังหวัดนราธิวาสได้จัดการแข่งขันเรือกอและชิงถ้วยพระราชทานหน้าพระที่นั่งเป็นประจำทุกปี (เว้นปี พ.ศ. 2520 และ พ.ศ. 2525)
ในปี พ.ศ. 2522 นายชัด รัตนราช ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสในขณะนั้น ได้ริเริ่มให้มีการแข่งขันเรือยาวขึ้นอีกประเภทหนึ่ง แต่ด้วยเหตุที่จังหวัดนราธิวาสหาเรือยาวได้ค่อนข้างยาก จึงได้เชิญเรือยาวจากจังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าร่วมการแข่งขัน จนกลายเป็นประเพณีการแข่งขันเรือกอและ และเรือยางควบคู่กันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 จนเป็นประเพณีสืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน
ในการเสด็จทอดพระเนตรการแข่งขันเรือกอและริมฝั่งแม่น้ำบางนราทุกปี จังหวัดนราธิวาสได้สร้างที่ประทับเป็นการชั่วคราวเรื่อยมา
ต่อมาปี พ.ศ. 2523 ชาวจังหวัดนราธิวาสเห็นพ้องต้องกันว่า เพื่อเทิดพระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ควรก่อสร้างพลับพลาที่ประทับเพื่อทอดพระเนตรการแข่งขันเรือยาวเป็นการถาวร ดังนั้นจังหวัดนราธิวาส จึงได้รวบรวมเงินทุนจากข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาส และดำเนินการก่อสร้างในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2526 แล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2527 รวมเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้นจำนวน 1,700,000 บาท
ประมาณปี พ.ศ. 2534 น้ำกัดเซาะตลิ่งพังเสียหาย นายผัน จันทรปาน ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสในขณะนั้น ได้ดำริปรับปรุงและขอสนับสนุนงบประมาณและการออกแบบก่อสร้างเขื่อนกันดินพังบริเวณพลับพลาที่ประทับเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2534 จังหวัดนราธิวาสจึงจำเป็นต้องจัดหาสถานที่แข่งขันเรือ ที่ใหม่เป็นการชั่วคราว ปรากฏว่าในขณะนั้นบริเวณประตูระบายน้ำ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำบางนราตามพระราชดำริ ได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว และมีทิวทัศน์ที่สวยงาม จังหวัดนราธิวาสจึงได้ย้ายสถานี่แข่งขันเรือจากบริเวณพลับพลาที่ประทับริมฝั่งแม่น้ำบางนรา ไปแข่งขันที่บริเวณประตูระบายน้ำ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำบางนราตามพระราชดำริ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 – 2536 หลังจากโครงการก่อสร้างเขื่อนกันดินพัง บริเวณพลับพลาที่ประทับแล้วเสร็จสมบูรณ์จึงได้ย้ายสถานที่จัดการแข่งขันเรือจากประตูระบายน้ำ โครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำบางนรามายังบริเวณพลับพลาที่ประทับริมฝั่งแม่น้ำบางนราเหมือนเดิม
หลักจากการแข่งขันเรือกอและ และเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานหน้าพระที่นั่ง ประจำปี พ..ศ. 2537 สิ้นสุดลง นายโชติ ชัวชมเกตุ ปลัดจังหวัดนราธิวาส ในฐานะประธานคณะกรรมการการแข่งขันเรือกอและ และเรือยาวชิงพระราชทาน ได้ปรึกษาหารือกับนายสวัสดิ์ กฤตรัชตนันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เพื่อหาแนวทางในการก่อสร้างพลับพลาที่ประทับหลังใหม่ ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ควรก่อสร้างพลับพลาที่ประทับเพื่อทอดพระเนตรการแข่งขันเรือฯ หลังใหม่ขึ้น โดยกำหนดให้เป็น “พลับพลาเฉลิมพระเกียรติฉลองครองสิริราชครบ 50 ปี พุทธศักราช 2539 ”
ในการดำเนินการนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้มอบหมายให้ นายวีระ ลำไยทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นผู้พิจารณาแบบแปลน รวมทั้งจัดหาแหล่งงบประมาณในการก่อสร้าง
เนื่องจากเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2539 และที่สำคัญ คือ แบบแปลนจะต้องเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ มีความมั่นคงถาวรและสวยงามสมพระเกียรติ จึงจำเป็นต้องหาช่างผู้ออกแบบที่มีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว ในที่สุดก็ได้รับความร่วมมือจากนายวรฤทธิ์ ประเสริฐรัชพันธุ์ ข้าราชการสังกัดกรมชลประทาน เป็นผู้ออกแบบตัวอาคาร มีลักษณะทรงปั้นหยา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อาคารของภาคใต้โดยเฉพาะ โดยบางส่วนได้จำลองแบบมาจากจวนเจ้าเมืองเก่าของจังหวัดนราธิวาส โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 7,000,000 บาท รั้วและไฟฟ้าแสงสว่างภายในพลับพลาอีกประมาณ 2,000,000 บาท ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2538 ซึ่งในปีนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาเยี่ยมราษฎร จังหวัดนราธิวาส และเสด็จทอดพระเนตรการแข่งขันเรือฯ ในพลับพลาที่ประทับแห่งนี้
ลักษณะเด่นของอาคารพลับพลาที่ประทับหลังใหม่
1. ตัวอาคารเป็นทรงปั้นหยา ซึ่งเป็นศิลปะการก่อสร้างอาคารในภาคใต้เป็นการเฉพาะ ทั้งนี้รูปทรงปั้นหยานั้น ได้จำลองมาจากอาคารจวนเจ้าเมืองนราธิวาสคนสุดท้าย และเพื่อเป็นการสืบทอดสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ของท้องถิ่นภาคใต้
2. โครงสร้างของอาคาร ก่อสร้างด้วยไม้ตะเคียนชันตาแมว ซึ่งเป็นไม้ตะเคียนที่มีคุณภาพดีที่สุด ซึ่งมีจำนวนมากที่จังหวัดนราธิวาสเท่านั้น และถือว่าเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดนราธิวาส การประกอบไม้ใช้แบบช่างโบราณ คือ การประกอบยึดต่อกันด้วยสลักไม้ทั้งหลัง
3. หลังคา มุงหลังคาหินชนวน ซึ่งสั่งซื้อมาจากแหล่งใหญ่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นหินที่มีสีสันแปลกตา และมีความคงทน ในการมุงนั้นใช้หินที่มีลักษณะเว้าแหว่งตามธรรมชาติสอดรับกันอย่างมีศิลปะและสวยงาม
. พื้นพลับพลา ปูด้วยกระเบื้องแม่ริม ซึ่งสั่งซื้อมาจากจังหวัดเชียงใหม่ เป็นกระเบื้องดินเผาเคลือบสีสวยงาม และมีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
เมื่อการก่อสร้างอาคารพลับพลาเฉลิมพระเกียรติฯ แล้วเสร็จ ก็ได้จัดทำโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์รอบบริเวณพลับพลาที่ประทับ ทั้งนี้จังหวัดนราธิวาสได้รับความร่วมมือจากนายสุทัศน์ ลิมปิยะประพันธ์ อาจารย์ 2 ระดับ 6 วิทยาลัยการเกษตรกรรมนราธิวาส เป็นผู้ออกแบบเน้นใช้พันธุ์ไม้พื้นเมือง โดยเฉพาะเป็นพันธุ์ปาล์มที่สวยงามและหายาก และส่วนใหญ่มีแหล่งกำเนิดในภาคใต้ เช่น ปาล์มบังสูรย์ หมากแดง ฯลฯ โดยมีการจัดปลูกไว้อย่างเหมาะสมและสวยงาม